เหลืออีกไม่กี่วันก็จะหมดปีแล้วนะครับ My PEN วันนี้ขอชวนท่านมาย้อนดูกันว่า มีเรื่องอะไรในโลกของการลงทุนที่โดดเด่นบ้างในปี 2023 ซึ่งกำลังจะผ่านพ้นไป
ก่อนอื่นเลย ต้องบอกว่า นี่เป็นปีที่ดีมากสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ สวนทางกับตลาดหุ้นไทยอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ เป็นปีที่ตลาด “คืน” ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในตลาดหมีปี 2022 ให้กับนักลงทุนจนเกือบหมด ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตร กลับมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากๆ อันเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ย
อาจกล่าวได้ว่า 2023 เป็นปีแห่ง “ภาพแม็คโคร” ก็ว่าได้ ถ้าจะพูดเป็นภาษาอังกฤษคือ “this year is all about macroeconomics” ผู้คนเอาแต่กล่าวถึงอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ เจโรม พาวล์ เป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ผู้คนต่างเฝ้ารอเวลาเขาออกมาพูดแต่ละที เพื่อจะได้ทราบทิศทางของนโยบายการเงิน
ในปีนี้ เฟดตะลุยขึ้นดอกเบี้ยถึงสี่ครั้ง เพื่อหยุดยั้งเงินเฟ้อและชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็ได้ส่งผลกระทบเข้าไปในราคาหุ้น พันธบัตร และสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ
ช่วงกลางปี เฟดส่งสัญญาณออกมารัวๆ ว่าอัตราดอกเบี้ยจะ “สูงต่อไป” หลังจากเงินเฟ้อไม่มีทีท่าว่าจะลดลงง่ายๆ ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นร่วงลง สวนทางกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
ถึงจุดนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว จึงคาดกันว่าเฟดน่าจะเริ่มต้น “ลด” ดอกเบี้ยในปี 2024 ที่จะถึงนี้ โดยคนของเฟดคาดว่าน่าจะลดลง 0.75 เปอร์เซ็นเพจพอยท์ แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับอัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ ถ้าเงินเฟ้อลดลง ดอกเบี้ยก็คงลดลง ซึ่งเอาเข้าจริงก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
น่าจะหมดยุคไปแล้ว สำหรับกลุ่ม FAANG หรือต่อมาคือ FANGMAN ที่ชอบเรียกกัน การดับของ Netflix ด้วยมูลค่าตลาดที่หดหาย การรุ่งขึ้นมาของ Tesla ที่ดันมาร์เก็ตแค็ปขึ้นมาสูงลิบลิ่ว ทำให้ไม่สามารถเอาอักษรตัวหน้ามาเรียงกันเป็นคำที่จำง่ายได้อีกแล้ว
2023 จึงกลายเป็นปีแห่งการถือกำเนิด “ฉายาใหม่” ของกลุ่มหุ้นเทคบิ๊กแค็ป ดังที่เรียกกันว่า “The Magnificent Seven” หรือ “เจ็ดมหัศจรรย์” อันประกอบด้วยสมาชิกเดิมอย่าง Meta Amazon Microsoft Apple Google รวมทั้ง Nvdia ที่สอดแทรกเข้ามาในกลุ่ม FANGMAN เมื่อบวกกับน้องใหม่อย่าง Tesla จึงครบเจ็ดพอดิบพอดี
นี่เป็นปีที่ดีสุดๆ สำหรับเจ็ดมหัศจรรย์เลยก็ว่าได้ โดยผลตอบแทนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บวกกันขึ้นมาตัวละอย่างต่ำๆ ร่วม 50% ไม่ว่าจะเป็น NVDA +231.0% META 176.86% TSLA +103.81% AMZN +75.7% MSFT +53.94% AAPL 53.52% GOOGL +49.54%
หากลองเช็คจาก Morningstar ก็พบว่าหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ แม้ราคาจะไม่แพงสูดกู่ แต่หลายตัวก็เต็มมูลค่า คือไม่ใช่โอกาสซื้ออีกต่อไป (ไม่เหมือนช่วงสิ้นปีที่แล้ว ที่ผมบอกว่าหุ้นกลุ่ม FAANG ราคาจะแจ้งน่าซื้อ โอกาสแพ้น้อยมาก)
ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์บางคนจึงชี้ไปยังทางเลือกอื่นๆ ในการลงทุน เช่น หุ้นเซมิคอนดักเตอร์อย่าง AMD หรืออาจจะรวมถึงหุ้นใน My PORT ของเราอย่าง TSMC ที่เป็นซัพพลายเออร์ของเจ็ดมหัศจรรย์หลายบริษัทอีกทีหนึ่ง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วลีติดปาก หรือ buzzword อันดับต้นๆ หากไม่ใช่อันดับหนึ่งของการลงทุนปีนี้ คือ เอไอ หรือ Artificial Intelligence หลังปรากฏการณ์ ChatGPT ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วโลกเมื่อปีก่อน ตามด้วยกำไรที่พุ่งกระฉูดขึ้นแบบสุดเซอร์ไพรส์ของ Nvidia กระชากเอาราคาหุ้น NVDA ขึ้นไปถึง 230% ขณะที่ Microsoft ซึ่งเป็นนายทุนของ OpenAI แม่ ChatGPT หุ้นก็ขึ้นไป 53%
Morningstar ลองกวาดเอาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้งหมดมาคิดรวมกัน ก็พบว่ารวมๆ แล้วปีนี้ปรับตัวขึ้นถึง 75% จึงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือ “ปีแห่งเอไอ” แท้ๆ แต่จะยั่งยืนแค่ไหนนั้น คงต้องดูกันไปยาวๆ
แม้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คงไม่มีใครอยากให้เศรษฐกิจ crash ลงมาอย่างรุนแรง ต่างฝ่ายต่างหวังว่าจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “การลงนิ่มๆ” หรือ soft landing
สาเหตุสำคัญที่ทำให้หุ้น (สหรัฐฯ) ขึ้นในปีนี้ ก็เพราะนักลงทุนมั่นใจไปล่วงหน้าแล้วว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยแน่ๆ เงินจึงไหลกลับเข้ามายังหุ้น แต่ก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะถ้าถึงเวลานั้น ภาพใหญ่ไม่ใช่ soft landing อย่างที่หวัง แต่เป็น hard landing ความเสียหายทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลจากการขึ้นดอกเบี้ยมาหลายครั้ง ก็ย่อมจะสะท้อนเข้ามายังราคาหุ้น ซึ่งจะทำให้หุ้นที่วิ่งขึ้นไปล่วงหน้าเพราะคิดว่าดอกเบี้ยจะลด กลับลดลงมาอีกครั้ง
นี่จึงเป็น dilemma ที่ทำให้น่ากระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย นักลงทุนอย่างเราๆ จึงควรระวัง เพราะมันคือ downside risk ที่จะมองข้ามไม่ได้เลย
สำหรับการลงทุนในปีหน้า ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ที่ต้องจับตามองอีกไม่น้อย อย่างเช่น
ด้านราคาหุ้น
ด้านเศรษฐกิจ
ถ้าอัตราดอกเบี้ยไม่ลด จะส่งผลให้อุปสงค์ต่อการบริโภคลดลง รายได้ของบริษัทก็จะลดลง และส่งผลไปยังค่าแรง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด ยุโรปอาจจะหนักว่าสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจอ่อนแอกว่า
ด้านพื้นฐานของธุรกิจ
ปัจจัยเสี่ยงในระดับโลก
สัปดาห์นี้ recep พอสังเขปไว้ก่อนนะครับ เอาไว้สัปดาห์หน้าจะมาว่ากันต่อถึง “โอกาสในการลงทุน” สำหรับปี 2024 นะครับ
—
ข้อมูลประกอบ : Morningstar, WSJ, Bloomberg, FT